งานขุดเจาะ
งานขุดเจาะ
- Details
- Super User
- Sample Data-Articles
ในขณะที่การขุดเจาะหน้างานมีความลึกมากขึ้นวิศวกรจะนำรถเข็นเหล็กมาขนเศษหินที่เกิดจากการระเบิดเข้ามาพวกเราเห็นรถเข็นคันหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเชลยสงครามถูกสั่งให้เทเศษหินลงบนรถเข็นจนล้นน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ความเร็วสูงขึ้นตามเนื่องจากรถเข็นถูกผลักไปตามรางเล็กๆและเศษหินก็ถูกทิ้งลงไปในเขา
คุณลอรี่เวทส์กล่าวจากความทรงจำว่า
“ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินมาว่ามีชาวอังกฤษนายหนึ่งเขาสลบ
แล้วก็ตกตรงทางลาดตรงที่เขาทิ้งเศษหินกัน
และเมื่อมีรถเข็นเศษหินอีกคันไปถึงขอบทางบริเวณนั้น
พวกคนที่ผลักรถเข็นก็ไม่ยอมเทหินตามลงไป
แต่นายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งเฝ้าร้องว่ายูทิปยูทิป
ซึ่งก็หมายถึงให้เทก้อนหินลงขอบไปเลย
จากนั้นก็เดินเข้าไปเทเศษหินด้วยตนเอง
และก็ฝังทหารอังกฤษผู้นั้นใต้ก้อนหินกองนั้น
ที่ผมได้ยินมาอย่างนั้นนะครับเรื่องนี้มันจริงเท็จแค่ไหน
ผมไม่ทราบหรอกครับแต่มันมีความเป็นไปได้มาก
พวกนั้นทำสิ่งเช่นนี้ได้เพราะชีวิตไม่มีความหมายอะไรต่อพวกนี้หรอกคุณ”
ทีมงานวางรางรถไฟสามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าทีมสร้างทางผ่านที่ต้องขุดเจาะภูเขาในเดือนกุมภาพันธ์พ.ศ. 2486
ทหารญี่ปุ่นเร่งวันเสร็จงานให้เร็วขึ้นแรงกดดันจึงเพิ่มมากขึ้นตามและระยะนี้หรือที่ทราบกันว่าเป็นช่วงสปีโดนั้นเป็นช่วงที่โหดร้ายที่สุดของการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้
ท่านเซอร์จอห์นคาร์ริกให้คำอธิบายไว้ดังนี้
“หลักการของช่วงสปีโดนั้นนะ
แน่นอนว่ามาจากการเร่งงานระยะสุดท้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะทหารญี่ปุ่นในพม่ากำลังขาดซึ่งเครื่องมือและเสบียง
ไม่ว่าจะเป็นอาหารกระสุนและสิ่งอื่นๆประการต่าง ๆ
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเร่งงานอย่างขับเคี่ยว
และไม่สนใจว่าใครจะเป็นใครจะตาย
คอยแต่จะลำเลียงกำลังคนมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ตลอดระยะเวลาการก่อสร้างวิศวกรทางรถไฟคอยผลักดันเชลยผู้อ่อนกำลังเพราะโรคร้ายหนักขึ้นเรื่อยๆในขณะนั้นเชลยสงครามทำงานกันช่วงละ 12 ชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน
คุณทอมอูเรนเป็นพยานถึงเหตุการณ์นี้ว่า
“ผมคาดว่าพวกเราได้เดินเท้ากันเที่ยวละหกกิโลเมตรได้กระมังครับ
หกกิโลเมตรไปยังทางรถไฟและหกกิโลเมตรกลับ
และก็ท่ามกลางฤดูฝนที่เปียกโชกอย่างนั้น
เมื่อคุณเดินลงเขาในโคลนบนทางแคบๆที่ลื่นๆ
เท้าของคุณจะไถลไปก่อนตัวคุณและคุณก็จะหกล้มหกลุกลงบนทางเดินนั้นละครับ
คุณจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวเลยเชียวพวกเราไม่มีรองเท้าหรอกครับ
บางครั้งพวกเราพยายามหาอะไรมาพันเท้าได้เพียงแค่จะไม่ให้ลื่นไถลเท่านั้น
ยังมีอีกนะครับบางแห่งเท้าคุณอาจจมโคลนได้ถึงหัวเข่าเลยทีเดียว
ส่วนตัวผมถูกให้ทำหน้าที่แฮมเมอร์แอนด์แท๊บหรือเป็นผู้ทุบแล้วก็เจาะหิน
แต่พวกที่ต้องขนย้ายเศษหินและดินนี่ซิครับพวกนั้นต้องทำงาน 16 ถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน
เมื่อคุณถูกบังคับโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนการเดินเท้าไปกลับจากที่ทำงาน
เหมือนการตกนรกทั้งเป็นจริงๆแต่พวกที่ป่วยละครับลองคิดดูนะครับ
พวกเขาไม่ยิ่งกว่าตกนรกเหรอผมยังจำได้ไม่ลืมเลยทีเดียว”
คุณเรย์พาร์คินบันทึกไว้ว่าทุกๆเช้าพวกเราจะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าเมื่อวานและทุกๆวันเหล่าทหารญี่ปุ่นจะเรียกร้องเอาจำนวนแรงงานตามหน่วยของตนพวกนี้ถึงกับใช้กำลังเพื่อเอาแม้แต่คนป่วยไปทำงานด้วย
คุณบิลแฮสเกลล์ผู้ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกเวียรี่ดันลอปให้คำอธิบายเรื่องนี้ว่า
“ ตอนเริ่มแรกทหารญี่ปุ่นเขาจะเข้ามาแจ้งจำนวนแรงงานที่ต้องการในค่ายที่พัก
และทุกวันก็เป็นความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น
เพราะพวกแรงงานที่ป่วยมีไข้ขึ้นสูงเนื่องจากโรคมาลาเรีย
และเป็นแผลพุพองเหล่านี้ไม่สามารถไปทำงานได้ช่วงเช้าของแต่ละวัน
พวกเราก็จะตั้งแถวและพันเอกดันลอปก็จะเข้ามาเกณฑ์คนที่ไปทำงานได้
และคัดเลือกคนที่ไปทำงานไม่ได้ออกไปแล้วก็จะมีการถกเถียงกันขึ้น
หลังจากจบเหตุการณ์ถกเถียงกันแล้ว
เหล่าแรงงานก็จะถูกแบ่งเป็นกลุ่มตามหน้าที่ต่างๆ
แต่ละกลุ่มก็จะอยู่ภายใต้การดูแลของนายทหารชั้นประทวนหากงานไม่ได้เป็นไปตาม
ความคาดหมายพวกนายทหารชั้นประทวนนี่แหละจะเป็นคนแรกที่ถูกเฆี่ยน
ตอนแรกทหารญี่ปุ่นใช้วิธีการควบคุมแบบนี้
แต่ว่าหลังจากนั้นพวกนายสิบที่เป็นหัวหน้าก็จะถูกปลดหมดแล้ว
ทหารญี่ปุ่นก็เข้ามายึดควบคุมแทนที่โดยใช้วิธีเฆี่ยนหรือกระบองทุบเอา
และใช้วิธีการทารุณกรรมแบบต่างๆ อีกเยอะหากเห็นว่าแรงงานคนใดหยุดพักไม่ทำงาน
นี่เป็นเพียงกลอุบายวิธีเดียวที่เพิ่มความยากลำบากให้การทำงานขึ้นเท่านั้น”